-
กรมศิลปากรชี้แจงประเด็นข่าวกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์กรมศิลปากรชี้แจงประเด็นข่าวกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ กรมศิลปากรแถลงข่าวชี้แจงประเด็นกุฏิพระโบราณที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย โดยนายเอนก สีหามาตย์ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายประทีป เพ็งตะโก ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี นายช่างโยธาและวิศกรควบคุมงาน เป็นผู้แถลงข่าว ณ ห้องประชุมกรมศิลปากรตามที่รายการเรื่องเล่าเสาร์ – อาทิตย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ประจำวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง ๓ และหนังสือพิมพ์ข่าวสด หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้เสนอข่าวเกี่ยวกับกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหายทั้งหมด สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์ นั้นกรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ขอชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวดังนี้๑. วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งยังปรากฏเจดีย์ โบสถ์ วิหารเก่าแก่ ควรค่าแก่การศึกษาด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี พระพุทธรูปสำคัญของวัดคือ หลวงพ่อโต พระพุทธรูปลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย สมัยกรุงศรีอยุธยา พระพุทธไสยาสน์ (หลวงพ่อเพชร) นอกจากนี้ยังมีโกศบรรจุอัฐิหลวงพ่อพญากราย ซึ่งเป็นพระมอญธุดงค์มาจำพรรษา ที่วัดสิงห์ บนกุฏิของวัดมีพิพิธภัณฑ์ เก็บรักษาของเก่า ได้แก่ ตุ่มสามโคก แท่นบรรทมของพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองสามโคก ใบลานอักษรมอญ ตู้พระธรรม และพระพุทธรูป ด้านหน้าวัดสิงห์มีการขุดค้นพบโบราณสถานเตาโอ่งอ่าง ซึ่งถือ เป็นหลักฐานของการตั้งชุมชนมอญในสมัยแรกในบริเวณนี้นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เล่มที่ ๑๐๙ ตอนที่ ๑๐๙๒. กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้รับการจัดสรรงบประมาณโครงการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานที่ประสบอุทกภัย โครงการบูรณะโบราณสถานวัดสิงห์ จำนวน ๑๒,๐๒๐,๐๐๐ บาท โดยแบ่งเป็น ๒ โครงการ- โครงการงานบูรณะโบราณสถาน จำนวนเงิน ๔,๔๕๐,๐๐๐ บาท- โครงการงานปรับยกระดับ (ปรับดีด) วงเงินสัญญาจ้าง ๗,๕๓๙,๐๐๐ บาท ดำเนินการว่าจ้างบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ดำเนินงาน ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑๒/๒๕๕๕ เริ่มสัญญาวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สิ้นสุดวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยมีนายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายช่างโยธาชำนาญงาน สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี เป็นผู้ควบคุมงาน๓. เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๒๑.๓๐ น. นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา ได้รับแจ้งจากตัวแทนบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด ในเวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. ขณะที่คนงานอยู่ในช่วงพัก ไม่มีใครอยู่ภายในบริเวณอาคารกุฏิโบราณ ได้ยินเสียงพร้อมทั้งปูนฉาบของตัวอาคารกะเทาะหลุดร่วงลงมา แล้วมุมอาคารด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เกิดการทรุดตัวลง ทำให้กระเบื้องหลังคาและโครงสร้างหลังคาทั้งหมด ทรุดลงมากองอยู่บริเวณพื้นไม้ชั้นสองของอาคาร ทำให้น้ำหนักบรรทุกของพื้นมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นผนังด้านทิศใต้ ก็ได้พังทลายตามลงมาเนื่องจากรับหนักของหลังคาที่ทรุดลงมาไม่ไหว๔. เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๙.๐๐ น.ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี (นายประทีป เพ็งตะโก) นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ วิศวกรชำนาญการพิเศษ นายจมร ปรปักษ์ประลัย สถาปนิกชำนาญการ นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสามโคก และคณะกรรมการวัดสิงห์ ได้ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายและหาสาเหตุของการพังทลาย ได้ข้อสรุปดังนี้๔.๑ การที่อาคารเกิดการทรุดตัว เนื่องจากพื้นดินรับฐานรากอาคารอยู่ในที่ต่ำชุ่มน้ำตลอดทั้งปี ทำให้อ่อนตัวรับน้ำหนักอาคารไม่ไหวทำให้ผนังอาคารทรุดตัวลงมาประมาณ ๑ ใน ๔ ส่วน๔.๒ ผนังอาคารมีร่องรอยแตกร้าวจำนวนมาก พบร่องรอยนี้จากการสำรวจเพื่อจัดทำรูปแบบรายการการอนุรักษ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๔๔.๓ ปูนสอเสื่อมสภาพจากการถูกน้ำแช่ขังและใช้งานอาคารมาเป็นเวลานาน ทำให้การยึดตัวของอิฐและปูนสอไม่ดี เป็นสาเหตุให้ตัวอาคารทรุดลงมา๔.๔ สภาพอาคารที่ปูนฉาบผนังนอกหลุดร่อน ทำให้น้ำซึมผ่านเข้าไปในผนังทำให้ ปูนสอชุ่มน้ำ ทำให้แรงยึดเกาะระหว่างอิฐต่ำ๔.๕ ขณะที่อาคารทรุดตัวอยู่ระหว่างการขุดเพื่อตรวจสอบฐานของอาคารส่วนที่ จมดินเพื่อเตรียมการกำหนดระยะที่ทำการตัดผนังเพื่อเสริมคานถ่ายแรง ยังไม่ได้ทำการตัดผนัง จึงยังมิได้มีการรบกวนโครงสร้างของอาคารโบราณ แต่ตัวอาคารก็เกิดการทรุดตัวลงมาเสียก่อนหลังจากทำการตรวจสอบพื้นที่แล้ว สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้สั่งการให้บริษัทผู้รับจ้างทำการค้ำยันผนังส่วนที่เหลือโดยให้ดำเนินการตามคำแนะนำของวิศวกร และทำการจัดเก็บวัสดุส่วนที่สามารถนำมาก่อสร้างเพื่อคืนสภาพอาคารไปจัดเก็บในที่ให้เรียบร้อย รวมทั้งได้เร่งรัดให้ผู้รับจ้างดำเนินการบูรณะกุฏิให้คืนสภาพโดยเร็ว โดยให้บริษัทผู้รับจ้างร่วมกับสถาปนิก วิศวกร และผู้เกี่ยวข้อง ปรับปรุงรูปแบบรายการ และวิธีปรับดีดให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบันของกุฏิ และให้ดำเนินการบูรณะกุฏิให้กลับคืนสภาพเดิม โดยให้เป็นไปตามรูปแบบรายการบูรณะที่ได้รับอนุญาต
ขอบคุณสำหรับข้อมูล
-
การกระทำอันละเมิดพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ ที่วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารรูปปัจจุบันได้ดำเนินการรื้อถอน ทำลายโบราณสถานภายในวัดกัลยาณมิตรฯ มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๖ ในระยะแรกกรมศิลปากรได้เข้าเจรจาและจัดให้มีการประชุมร่วมกันหลายฝ่าย และที่ประชุมฯ ได้มีมติให้วัดกัลยาณมิตรฯ จัดทำแผนแม่บทการอนุรักษ์โบราณสถานภายในวัดฯ
กรมศิลปากรได้มีหนังสือนมัสการแจ้งเจ้าอาวาสให้ระงับการดำเนินการเป็นจำนวนหลายฉบับ พร้อมทั้งได้เข้านมัสการสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๕๑ เพื่อขอให้วัดระงับการกระทำอันละเมิดกฎหมาย แต่มิได้รับความร่วมมือจากทางวัดแต่อย่างใดจนนำไปสู่การแจ้งความดำเนินคดีต่อเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรฯ ในครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๕๑
การดำเนินคดีทางอาญาต่อวัดกัลยาณมิตรฯ ได้ดำเนินการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เป็นจำนวนคดีรวม ๑๖ คดี ๔๕ รายการ แบ่งออกเป็น
- การรื้อถอนโบราณสถาน ๒๒ รายการ
- การบูรณะโบราณสถาน ๕ รายการ
- การก่อสร้างอาคารในเขตโบราณสถานโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมศิลปากร ๑๘ รายการ
นอกจากนี้ยังมีคดีทางปกครองอีก ๓ คดี และคดีถึงที่สุดแล้วทุกคดี อันเป็นที่มาที่กรมศิลปากรเข้าดำเนินการรื้อถอนศาลารายจำนวน ๒ หลังที่สร้างขึ้นบนโบราณสถานที่วัดฯ ได้รื้อถอนทำลายไป ในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ รายละเอียดดังนี้
คดีปกครองกรณีวัดกัลยาณมิตรฯ
คดีปกครองในกรณีวัดกัลยาณมิตร มีจำนวน ๓ คดี ได้แก่ คดีปกครองหมายดำที่ ๙๐/๒๕๕๒, คดีปกครองหมายดำที่ ๔๕๗/๒๕๕๒ และคดีปกครองหมายดำที่ ๔๖๑/๒๕๕๕
๑. คดีปกครองหมายดำที่ ๙๐/๒๕๕๒ (คดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๔๔/๒๕๕๓ - คดีถึงที่สุด)
นายเชียรช่วง กัลยาณมิตร กับพวกรวม ๓๓ คน ได้ยื่นฟ้อง กรมศิลปากร โดยวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารเป็นผู้ร้องสอด
ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ วัดกัลยาณมิตรฯ ผู้ร้องสอดอุทธรณ์คำพิพากษาในคดีนี้ และต่อมาได้ถอนอุทธรณ์ และศาลอนุญาต คดีถึงที่สุด
คำพิพากษา
ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้กรมศิลปากรดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา ๗ ทวิ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ และแจ้งให้วัดกัลยาณมิตรฯ ผู้ร้องสอด ระงับการซ่อมแซม แก้ไข เปลี่ยนแปลง รื้อถอน ต่อเติม ทำลาย เคลื่อนย้าย โบราณสถาน หรือส่วนต่างๆของโบราณสถาน หรือขุดค้นสิ่งใด หรือปลูกสร้างอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการก่อสร้างอาคารภายในเขตของโบราณสถานผู้ร้องสอดโดยเด็ดขาด จนกว่าจะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ถูกฟ้องคดี
๑.๑ การปฏิบัติของกรมศิลปากรตามคำพิพากษา ตามมาตรา ๗ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ
(เนื้อความ) “ห้ามมิให้ผู้ใดปลูกสร้างอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการก่อสร้างอาคารภายในเขตของโบราณสถาน ซึ่งอธิบดีได้ประกาศขึ้นทะเบียนเว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี”
(เนื้อความต่อ) “ในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารโดยมิได้รับอนุญาต ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งระงับการก่อสร้าง และให้รื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารนั้นภายในกำหนดหกสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง”
(เนื้อความต่อ) “ผู้ใดขัดขืนไม่ระงับการก่อสร้างหรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารตามคำสั่งอธิบดี มีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน และให้อธิบดีดำเนินการรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารนั้นได้ โดยเจ้าของหรือผู้ครอบครองหรือผู้ปลูกสร้างไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือดำเนินคดีแก่ผู้รื้อถอนไม่ว่าด้วยประการใดทั้งสิ้น”
(เนื้อความต่อ) “สัมภาระที่รื้อถอนถ้าเจ้าของไม่ขนย้ายออกไปจากเขตโบราณสถานภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันรื้อถอนเสร็จ ให้อธิบดีจัดการขายทอดตลาดสัมภาระนั้น เงินที่ได้จากการขายเมื่อหักค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนและการขายแล้วเหลือเท่าใด ให้คืนให้เจ้าของสัมภาระนั้น”
กรมศิลปากรดำเนินการตามมาตรา ๗ ทวิ ดังนี้
- มีหนังสือที่ วธ ๐๔๐๑/๑๕๖๖ ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๒ เรื่อง ขอให้ระงับการก่อสร้างและให้รื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมศิลปากร (วัดฯ ได้ยื่นฟ้องกรมศิลปากร-คดีถึงที่สุดตามรายละเอียดในคดีปกครองหมายดำที่ ๔๕๗/๒๕๕๒)
- ดำเนินการรื้อถอนศาลารายที่สร้างขึ้นใหม่จำนวน ๒ หลัง เริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘
การปฏิบัติของกรมศิลปากรตามคำพิพากษา ตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ
(เนื้อความ) “ห้ามมิให้ผู้ใดซ่อมแซม แก้ไข เปลี่ยนแปลง รื้อถอน ต่อเติม ทำลาย เคลื่อนย้ายโบราณสถานหรือส่วนต่างๆ ของโบราณสถาน หรือขุดค้นสิ่งใดๆ หรือปลูกสร้างอาคารภายในบริเวณโบราณสถาน เว้นแต่จะกระทำตามคำสั่งของอธิบดีหรือได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี และถ้าหนังสืออนุญาตนั้นกำหนดเงื่อนไขไว้ประการใดก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นด้วย”
กรมศิลปากรดำเนินการตามมาตรา ๑๐ โดยดำเนินการแจ้งความต่อผู้กระทำความผิดทั้งหมด ๑๖ คดี รายละเอียดตามสรุปคดีอาญา
๑.๒ คดีปกครองหมายดำที่ ๔๕๗/๒๕๕๒ (คดีถึงที่สุด)
วัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหารได้ยื่นฟ้องกรมศิลปากร ต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๕๗/๒๕๕๒ โดยขอให้ศาลมีคำสั่งกรมศิลปากรยกเลิกคำสั่งห้ามให้วัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหารกระทำการก่อสร้างอาคารในที่ดินของวัดและรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากรตามหนังสือ ที่ วธ ๐๔๐๑/๑๕๖๖ เรื่อง ขอให้ระงับการก่อสร้างและให้รื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมศิลปากร ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๒
คดียุติแล้ว เพราะวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ผู้ฟ้องคดี ขอถอนฟ้อง ซึ่งศาลอนุญาตและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๔
๑.๓ คดีปกครองหมายดำที่ ๔๖๑/๒๕๕๕ (คดีถึงที่สุดตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๑๑๘/๒๕๕๘)
วัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหารได้ยื่นฟ้องกรมศิลปากร ต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๑/๒๕๕๕ เนื่องจากกรมศิลปากรได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ วธ ๐๔๐๓/๑๐๓๕ ลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๕ ให้ทราบว่าพื้นที่พิพาทวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารศาลปกครองได้มีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ๙๐/๒๕๕๒ และกรมศิลปากรโดยเจ้าหน้าที่ของสำนักโบราณคดีได้เข้าตรวจพบว่ามีการดำเนินการก่อสร้างในเขตโบราณสถานและพฤติการณ์มีแนวโน้มจะรื้อถอน ทำลายโบราณสถานภายในวัดเพิ่มเติม จึงขอห้ามรื้อถอน ทำลายอาคารหมายเลข ๒๐ ค ๔/๔, ๒๐ ค ๔/๕ และ ๒๑ รวมทั้งห้ามการดำเนินการใดๆ ภายในวัดที่ขัดต่อมาตรา ๑๐ มาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๕ แห่งพระราชพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๔ (ฉบับที่๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ด้วยสาเหตุจากการที่กรมศิลปากรได้มีหนังสือฉบับดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงได้ยืนฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองกลาง
ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่ฟ้อง และผู้ร้องมีคำร้องที่ ๖๐๑/๒๕๕๖ ยื่นต่อศาลปกครองสูงสุด และศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ ๑๑๘/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๘ ยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นโดยไม่รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากเป็นการฟ้องซ้ำ
โดยศาลได้พิจาณาว่า ในกรณีนี้ศาลได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้วในคดีปกครองหมายดำที่ ๙๐/๒๕๕๒ หมายเลขแดงที่ ๒๐๔๔/๒๕๕๓ ว่าผู้ฟ้องคดี (วัดกัลยาณมิตร) เป็นโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วตามกฎหมาย และได้พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดี (กรมศิลปากร) สั่งให้วัดกัลยาณมิตรระงับการซ่อมแซม แก้ไข เปลี่ยนแปล รื้อถอน ต่อเติม ทำลาย เคลื่อนย้ายโบราณสถาน หรือส่วนต่างๆ ของโบราณสถาน หรือขุดค้นสิ่งใดๆ หรือปลูกสร้างอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการก่อสร้างอาคารภายในเขตของโบราณสถาน
การปฏิบัติของกรมศิลปากรตามคำพิพากษา
ในคดีหมายเลขดำที่๙๐/๒๕๕๒ หมายเลขแดงที่ ๒๐๔๔/๒๕๕๓
(ขยายความการดำเนินการตามมาตรา ๗ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ)
ในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ กรมศิลปากรเข้าดำเนินการรื้อถอนศาลารายที่สร้างขึ้นใหม่จำนวน ๒ หลังภายในวัดกัลยาณมิตรฯ ตามคำพิพากษาของศาลปกครองในคดีหมายเลขดำที่ ๙๐/๒๕๕๒ หมายเลขแดงที่ ๒๐๔๔/๒๕๕๓ ที่ให้กรมศิลปากรดำเนินการตามมาตรา ๗ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ ต่อวัดกัลยาณมิตรฯ ผู้ร้องสอด
ในกรณีนี้ กรมศิลปากรได้มีหนังสือที่ วธ ๐๔๐๑/๑๕๖๖ เรื่อง ขอให้ระงับการก่อสร้างและให้รื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมศิลปากร ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๒ โดยวัดฯ ได้ฟ้องร้องต่อศาลปกครองและได้ถอนฟ้องในเวลาต่อไป จึงถือว่าคดีถึงที่สุดแล้ว
กรมศิลปากรจึงได้คัดเลือกอาคารที่จะทำการรื้อถอน นำเสนอเข้าคณะกรรมการวิชาการเพื่อการอนุรักษ์โบราณสถาน ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๘ และที่ประชุมฯ เห็นชอบในการที่กรมศิลปากรจะเข้ารื้อถอนศาลารายจำนวน ๒ หลัง ที่สร้างทับโบราณสถานศาลาเสวิกุล และศาลาทรงปั้นหยา ซึ่งวัดฯ ได้รื้อถอนทำลายไปก่อนหน้านี้
เมื่อกรมศิลปากรได้ผู้รับจ้างในการดำเนินการ จึงได้มีหนังสือกรมศิลปากรที่ วธ ๐๔๐๑/๒๗๑๙ ลงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เรื่องแจ้งการเข้ารื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมศิลปากร นมัสการเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร แจ้งกำหนดการเข้ารื้อถอนศาลารายที่สร้างขึ้นอย่างผิดกฎหมายนี้ ในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และได้จัดทำป้ายขนาดใหญ่ไปติดไว้ที่ศาลารายทั้ง ๒ หลังในเวลาต่อมาด้วย
นอกจากศาลารายที่สร้างขึ้นใหม่จำนวน ๒ หลังที่อยู่ระหว่างการรื้อถอน ยังมีอาคารอีก.....รายการ ที่ละเมิดพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ โดยสร้างขึ้นภายหลังการรื้อทำลายโบราณสถานอย่างผิดกฎหมาย
ขอบคุณสำหรับข้อมูล