กลุ่มจิตรกรรม สังกัดสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานวิจิตรศิลป์โดยเฉพาะสาขาจิตรกรรม ทั้งในด้านจิตรกรรมไทยตามแบบประเพณีนิยม และจิตรกรรมร่วมสมัย โดยเน้นไปในแนวทางของศิลปะตามหลักวิชาการ (Acadamic Art) หน้าที่และความรับผิดชอบของกลุ่มงานจึงดำเนินควบคู่กันไปทั้งการ อนุรักษณ์ สืบสานองค์ความรู้ภูมิปัญญา และ การสร้างสรรค์ต่อยอดองค์ความรู้โดยพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัย
ที่ผ่านมากลุ่มจิตรกรรม ได้เข้าไปมีบทบาทในงานศิลปกรรมสำคัญระดับชาติมากมายอาธิเช่น การออกแบบและเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังพุทธรัตนสถานตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ, จิตรกรรมไตรภูมิกถาฉบับรัชกาลที่ ๙,จิตรกรรมภายในพระอุโบสถวัดราชผาติการาม เป็นต้น นอกเหนือจากนั้นในการสร้างสรรค์ระดับบุคคล บุคลากรภายในกลุ่มได้สร้างผลงานไว้อย่างต่อเนื่องในหลายแนวทางด้วยกันได้แก่ ภาพเขียนพระบรมสาทิสลักษณ์พระมหากษัตริย์รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ ภาพบุคคลสำคัญต่างๆ จิตรกรรมไทยแบบประเพณีนิยม และจิตรกรรมไทยแบบร่วมสมัย โดยอาศัยแนวเรื่องจากประวัติศาสตร์ ศาสนา วิถีชีวิตและ วัฒนธรรม
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางศิลปะวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน หน้าที่หลักอีกประการคือการรวมรวมเผยแพร่องค์ความรู้ต่างๆในด้านงานจิตรกรรม การจัดนิทรรศการทางศิลปะ การจัดอบรมให้บริการความรู้ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องและผู้สนใจทั่วไป ได้รับรู้ซึมซับและเข้าใจในวัฒนธรรมอันดี และเมื่อนำไปผนวกกับวิชาการความรู้ใหม่ๆ จะทำให้เกิดการพัฒนาไปในแนวทางที่ดีงามต่อไป
พระพุทธรัตนสถานตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นกลางของพระบรมมหาราชวัง เป็นอาคารทรงไทยชั้นเดียวประดับด้วยหินอ่อนทั้งหลัง มีอาคารประกอบ ได้แก่ ศาลาโถง ๒ หลัง เสาประทีป ๔ ต้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระพุทธรัตนสถานขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศิลปะล้านนา ปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง ๗.๕ นิ้ว สูงเฉพาะองค์ ๑๒.๕ นิ้ว สูงจากฐานถึงพระรัศมี ๒๐.๔ นิ้ว ส่วนฐานรองด้วยดอกบัวทองคำเป็นกลีบ ๓ ชั้น เกสรประดับด้วยเนาวรัตน์ ฐานแข้งสิงห์ทำด้วยทองคำจำหลักลายประดับพลอยสีเป็นพระพุทธรูปแก้วผลึกขาว ที่ช่างเรียกว่า เพชรน้ำค้างหรือบุษย์น้ำขาว น้ำใสบริสุทธ์เอกอุ อัญเชิญมาจากนครจำปาศักดิ์เมื่อครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยฯ เดิมประดิษฐาน ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ
พระพุทธรัตนสถานจึงเป็นสถานที่บำเพ็ญพระราชกุศลของฝ่ายในตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา แม้ในสมัยต่อมา พระมหากษัตริย์จะมิได้ประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวังเช่นแต่ก่อน เมื่อประกอบพระราชพิธีสำคัญในรัชกาล นอกจากจะทรงปฏิบัติบำเพ็ญ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว มิได้เว้นที่จะมากระทำ ณ พระพุทธรัตนสถานตามธรรมเนียม ดังปรากฏพระราชกรณียกิจในหมายกำหนดการ
จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฝ่ายสัมพันธมิตรส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดโจมตีกองทัพเรือ และสถานีรถไฟบางกอกน้อย เพื่อทำลายจุดยุทธศาสตร์ ระเบิดได้ตกลงที่พระบรมมหาราชวังข้างพระอุโบสถพระพุทธรัตนสถาน ๑ ลูก ด้วยแรงสั่นสะเทือนและน้ำหนักของลูกระเบิดทำให้ชายคาและผนังด้านทิศเหนือชำรุด โครงสร้างและส่วนประกอบภายในชำรุดเสียหาย จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๙๒ สำนักพระราชวังจึงได้ซ่อมแซมส่วนที่เสียหายจากแรงระเบิดก่อน และบูรณะซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เช่นเดิมในปี พ.ศ. ๒๔๙๖
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้กรมศิลปากรเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถพระพุทธรัตน สถานขึ้นใหม่ แทนภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ ซึ่งเป็นเรื่องราวพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลพระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลปัจจุบัน ช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๘ - ๒๔๙๙ ด้วยทรงเห็นว่าไม่สอดคล้องกับภาพจิตรกรรมฝาผนังตอนบนซึ่งเขียนในสมัยรัชกาล ที่ ๔ อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย พระประธานในพระอุโบสถพระพุทธรัตนสถาน เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปในงานสมโภชวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร จังหวัดนนทบุรี เนื่องในโอกาสเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบ พ.ศ. ๒๕๓๕ ทรงทราบว่ากรมศิลปากรสามารถดำเนินการลอกภาพจิตรกรรมฝาผนังและอนุรักษ์ของเดิมไว้ได้ กรมศิลปากรจึงรับพระราชกระแสมาดำเนินการ
ปัจจุบันแนวการเขียนแบบโบราณนับวันจะหมดไป เพราะศิลปินยุคใหม่ได้รับอิทธิพลศิลปะสากลจากตะวันตกมาอย่างกว้างขวาง ทั้งรูปแบบ แนวคิด และการใช้สี อีกทั้งโอกาสที่จะสร้างศิลปกรรมแบบโบราณไม่มีแล้ว จึงดูเสมือนว่าศิลปินสมัยใหม่ได้ละทิ้งรูปแบบดั้งเดิมของช่างโบราณไปโดยไม่ ตั้งใจ ฉะนั้น ภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้ง 8 ช่อง ที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในโอกาสนี้ กล่าวได้ว่าเป็นการรักษาแบบแผนอันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปกรรมประจำชาติไว้ ให้มีความเชื่อมต่อระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่ สามารถยึดถือได้ว่า นี่คืองานศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ ๙ ได้อย่างภาคภูมิ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานแนวพระราชดำริ ทั้งด้านประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม ราชประเพณ พระพุทธศาสนาโดยให้ยึดความสำคุญของพุทธรัตนสถานเป็นหัวใจของการกำหนดภาพทรง แก้ไขทุกภาพร่างทุกภาพอย่างละเอียดทุกขั้นตอน เพื่อรักษาแบบแผนเอกลักษณ์จิตรกรรมฝาผนังของไทยอันสืบทอดมาแต่โบราณผสมผสาน กับลักษณะความสมจริงตามประวัติศาสตร์ของแต่ละสมัย ซึ่งไม่เคยปรากฏในภาพจิตรกรรมไทยประเพณีมาก่อน จึงเป็นการสร้างรูปแบบภาพเขียนที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ ๙
ช่องที่ ๑ เหตุการณ์ในรัชกาลที่ ๔
พุทธศักราช ๒๓๙๖ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระราชพิธีวางศิลาก่อพระฤกษ์สร้างพระวิหารพระพุทธรัตนสถานเป็นปฐม ในบริเวณนี้พระพุทธรัตนสถานมีอาคารประกอบที่สำคัญคือ หอระฆัง ศาลาโถงทรงไทย ๒ หลัง เบื้องหน้า ซ้าย ขวา
บรรดาช่างหลายประเภท อาธิ ช่างไม้ ช่างปูน ช่างแกะสลัก ช่างมุก ทั้งในการสร้างฐานชุกชีแกะจำหลักด้วยงาช้างและสร้างบุษบกสำหรับประดิษฐานพระพุทธบุษยรัตน์จักรพรรดิพิมลมณีมัยภายในพระวิหารทุกคนขมักเขม้นในภาระกิจ เป็นบรรยากาศของการทำงานก่อสร้าง ที่สะท้อนให้เห็นสภาพภายในพระบรมหาราชวังชีวิตความเป็นอยู่โดยเฉพาะช่าง ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร การแต่งกายและวัฒนธรรมการเข้าเฝ้าฯ
ช่องที่ ๒ เหตุการณ์ในรัชกาลที่ ๔
พุทธศักราช ๒๔๐๔ เมื่อก่อสร้างพระพุทธรัตนสถานแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพิธียกช่อฟ้าพระพุทธรัตนสถานแล้วโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัยจากหอพระสุลาลัยพิมาน ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ด้วยกระบวนพระอิศริยยศเข้ามาประดิษฐาน ณ พระพุทธรัตนสถาน
ในการสมโภช มีมหรสพตามแบบโบราณได้แก่ การละเล่นของไทย การแสดงอุปรากรจีนเป็นต้น
ช่องที่ ๓ เหตุการณ์ในรัชกาลที่๕
พุทธศักราช ๒๔๑๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แปลงพระวิหารพระพุทธรัตนสถานเป็นพระอุโบสถ เพื่อทรงผนวชตามโบราณราชประเพณี ได้เสด็จ พระราชดำเนินทรงประกอบพระราชพิธีผูกพุธสีมาฝังลูกนิมิต พระอุโบสถพระพุทธรัตนสถานจึงเป็นพระอุโบสถประวัติศาสตร์ที่พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ในพระบรมราชจักกรีวงศ์ต่อมาทรงผนวช
สมัยนี้บ้านเมืองในต้นรัชกาล วิถีชีวิตของสังคมไทยโดยเฉพาะการแต่งกาย ยังมีลักษณะเหมือนกับสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นส่วนใหญ่ เว้นแต่พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์เริ่มมีอิทธิพลตะวันตกบ้าง ส่วนการคมนาคมเริ่มมีรถลาก ซึ่งเรียกว่า "รถเจ๊ก" เป็นพาหนะ
.